วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

หากเปรียบเทียบกับ การสืบทอดสายพันธุ์



สมมุติให้...


วิทยาการคอมพิวเตอร์ เป็นตัวแม่ สายพันธุ์นักคณิตศาสตร์ คอมพิวเตอร์ มีลูกหลายตัว


ตัวแรก วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เกิดจากตัวพ่อที่เป็น สายพันธุ์นักฟิสิกส์ สาขาไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์



ตัวที่สอง เทคโนโลยีสารสนเทศ เกิดจากตัวพ่อที่เป็น สายพันธุ์นักบริหารจัดการ องค์กร

หรือ สายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยอาจกำหนดไว้ไม่เหมือนกัน



ตัวที่สาม คอมพิวเตอร์ศึกษา เกิดจากตัวพ่อที่เป็น สายพันธุ์นักการศึกษา(ครู)



และถ้าเอาตัว เทคโนโลยีสารสนเทศ ไปผสมกับ สายพันธุ์นักธุรกิจ จะได้ "คอมพิวเตอร์ธุรกิจ" เป็นหลานของวิทยาการคอมพิวเตอร์



และลูกหลานทุกตัวที่กล่าวมา สามารถเป็นโปรแกรมเมอร์ได้ ถ้าได้รับการฝึกฝนจนชำนาญ

กว่าจะเป็นโปรแกรมเมอร์ (นำมาจากหลายๆที่ครับ เพื่อให้ดูความเห็นแต่ละท่าน)

เป็นโปรแกรมเมอร์ด้วยลำแข็งตัวเอง


เป็นโปรแกรมเมอร์ ด้วยลำแข้งตัวเอง หากคุณเคยคิดอยากเป็น "โปรแกรมเมอร์" (หรือยังไม่เคยคิดก็ตาม) วันนี้คุณอาจพบตัวเอง คำว่า "โปรแกรมเมอร์" อยู่ไม่ไกลมือคุณ… มาลองดูด้วยกัน หาหนทางเป็นโปรแกรมเมอร์ด้วยกัน ในเนื้อความผมจะแนะนำ แนวทาง, วิธีการศึกษาด้วยตัวเอง, การเลือกภาษา ให้เหมาะกับคุณ เหมาะกับงานของคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร คนทำงาน, นักเรียน, นักศึกษา หรือคนตกงานนั่งวางอยู่ที่บ้าน อย่าสับสนให้เวลาต้องผ่านเลยไป เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส และมาเป็น โปรแกรมเมอร์ด้วยกัน…

ทางเริ่มเป็นโปรแกรมเมอร์

    เริ่มจากที่ตัวคุณเองได้เลยครับ คุณอาจเคยเขาใจว่าการเป็นโปรแกรมเมอร์นั้น ต้องอาศัยความสามารถ และการเงินที่สูง คนธรรมดาอย่างเราๆ ไม่มีทางศึกษาเป็นโปรแกรมเมอร์ได้หรอก… ถึงวันนี้ลองเปลี่ยนความคิด(ผมไม่สนใจว่าคุณจะรู้มาจากใคร) หากวันนี้คำว่าโปรแกรมเมอร์ยังหลอกหลอนคุณอยู่, หากคุณยังหาแนวทางไม่ได้ ผมจะแนะนำคุณ…

ทำความพร้อม เพื่อเราจะเป็นโปรแกรมเมอร์

    ไม่ถึงขั้นจำเป็นต้องออกไป ศึกษาตามสภาบันสอนคอมพิวเตอร์ ให้เสียเงินเป็นหมื่นๆ หรอกลองนั่งอยู่ที่บ้าน หาห้องสมุดที่ใกล้ตัว หาหนังสือคู่มือดีๆ ไม่แน่คุณอาจจะเก่งกว่าคนที่จบมาจากสถาบันคอมพิวเตอร์เสียอีก… เพียงคุณต้องเขาใจว่า คุณต้องตั้งใจที่จะศึกษา ที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ สละเวลาสักวันล่ะ 1-2 ชั่วโมง (อย่างน้อยก็ 1 ชั่วโมง) ขยันสักหน่อย พอคุณเริ่มเป็น อะไรๆ ก็จะง่ายขึ้น ถ้าหาทางไม่ถูกก็ลองอ่านต่อไป…

   1. สำรวจ เวลาว่างของตนเอง ขอให้ทำเป็นอันดับหนึ่งเลย ลองหาเวลาของตัวเองว่าจะว่างได้สักตอนไหน สัก 1 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย ถ้าหาเวลาว่างไม่ได้ ก็อย่าใช่เป็นข้ออ่างว่าไม่มีเวลา ลองย้ายกิจกรรมตอนเย็นไปทำในเวลาอื่น เช่น อ่านหนังสือ (ใครที่อ่านตอนเย็น) ก็เปลี่ยนไปอ่านตอนกลางวัน อย่างไรก็ตามถ้าไม่ "หัวเด็ดตีนขาด" หาเวลาให้ตัวเองให้ได้…
   2. ดู งานที่คุณทำอยู่ ก็ถ้าคุณอยู่ในวัยทำงานก็ดูว่างานของคุณ ทำเกี่ยวกับอะไร เช่น บัญชี เอกสาร การเงิน จัดเก็บข้อมูล หรืออะไรพวกนี้ เพื่อนจะได้หาภาษาที่เหมาะกับคุณ… ถ้าเป็นนักเรียนหรือนักศึกษา ก็ให้ดูซิว่าที่โรงเรียนหรือสถาบันของตนเอง เปิดสอนวิชา เกี่ยวกับภาษาคอมพิวเตอร์หรือเปล่า ถ้าสอนก็ให้จับวิชาที่สอนก่อนเลย จะได้ดีทั้งสองอย่าง
   3. หา ห้องสมุดที่ใกล้และดูเงินในกระเป๋าคุณ แน่นนอนครับการศึกษาด้วยตัวเองอย่างไรก็ไม่พ้นหนังสือ ดีๆ สักเล่ม(จะให้ดีต้องมากกว่านั้น) เริ่มจากหนังสือ ภาษาไทยก่อน อาจจะราคาสูงบ่างสำหรับนักเรียน ตกประมาณ 390-680 บาท อาจจะมีบ่างเล่มที่ ทะลุถึงหลัก 800-900 บาท (เดียวผมจะมาว่าที่หลัง.) ลองเขาไปดูในห้องสมุดก่อน อาจเป็นห้องสมุดชุมชน หรือจะให้ดีเป็นห้องสมุดมหาวิทยาลัยก็ได้ ถ้าไม่ได้เป็นนักศึกษา เอาสะดวกหน่อยที่ ม.ราม หัวหมาก ไปเลย ชั้น 5 ครับ มีให้เลือกอ่านกัน ตามสมควร …

      ลองดู หนังสือ ที่เราอ่านรู้เรื่อง ที่เราคิดว่ามีเนื้อหาสาระเยอะ ซึ่งดูได้จาก คำนำ ่ เขาเขียนเพื่ออะไร, สารบัญ แจกแจงเนื้อหา, บทนำ หรือบทแรกก่อนที่จะเขาสาระเขามักจะบอกคุณว่าจะสอนอะไรบ่าง อ่านดูให้เขาใจ แล้วก็เลือกเล่มที่ถูกใจ ดูราคา จะเล่นนั้นไว้ ไปซื้อเลยครับ ถ้าไม่มั่นใจก็ลอง ยืมกลับไปอ่านที่บ้าน (ถ้ามีบัตร) หรือนั่งอ่านที่ห้องสมุดสักหน่อย คุณจะเจอเล่มที่ดีที่สุดได้ไม่ยาก… เลือกภาษาที่ถูกใจ นี่ครับสำคัญที่สุด เพราะเป็นปัญหามาก หลายคนจะถามว่าภาษาอะไร ดีกว่ากัน คำตอบนี่ยาก (สุด ๆ) ครับ… ถ้าเรามานั่งวิเคราะห์กันจริงๆ มั่นจะได้เหตุผมมาประการพิจารณา 108 ครับ

      เพราะ ฉนั้นผมจะไม่แนะนำให้คุณเลือกภาษาที่คุณคิดว่าเป็นภาษาที่ดีที่สุด ให้คุณมองหาภาษาที่ดีกับตัวคุณดีกว่า มองภาษาที่เหมาะกับเรา ผมแนะนำให้ดูอย่างนี้ครับ (ว่าแบบตรงๆเลยนะ)

      ดู ที่งานของเรา ถ้าต้องเกี่ยวกับ ธุรกิจ บัญชี อาจจะเป็นนักเรียนพาณิช ต้องทำงานกับโปรแกรม Office บ่อย ก็ให้มองไปที่ Visual Basic ได้เลยครับ เพราะภาษากระกูลนี้คุณจะสามารถ นำมาประยุกต์เขากับงานของคุณได้ อย่าลืมนะครับว่าโปรแกรมจะ Microsoft จะมีความใกล้ชิดกับ Visual Basic ของตนเองเป็นอย่างมาก การที่เรารู้จัก Visual Basic จะทำให้เราใช้โปรแกรม Office ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นอันว่าคุณจะสร้างคุณภาพงานและความสามารถให้ตัวคุณเอง ไปโดยบริยาย อีกทั้งถ้าเป็นคนทำงานอาจใช้เป็นข้ออ้าง ว่าทำการศึกษาเพิ่มความรู้ได้ด้วย ส่วนถ้าเป็นนักศึกษาไม่แน่อาจเก่งคอมกว่าอาจารย์อีก(มีอยู่เยอะไป)…

      ส่วน ถ้าเป็นนักเรียนเทคนิคลอง หรือพวกนักศึกษาวิศวกรรม (พวกสายวิศวะ) ก็ให้มองไปที่ Pascal กับ C/C++ เพราะจะตรงกับสายมากว่า พวกอิเล็กทรอนิกส์ มองไปที่ C/C++ ได้เลยตรงที่สุด ส่วนพวกอุตสาหกรรม Pascal จะเด่นกว่า C/C++ อยู่เล็กน้อย…

      และ ถ้าเป็นนักศึกษาพวกวิทยาศาสตร์(พวกวิทย์-คอม) มองที่ Pascal ไปเลยครับ. สาเหตุก็เพราะไม่รู้เป็นอะไร ตามมหาวิทยาลัยนี่อาจารย์ชอบกันจัง Pascal เราก็เรียนที่เราต้องเจอกับมันก่อนดีกว่า

         (*สาเหตุ ที่ อ.ชอบสอน Pascal ก็เพราะ Pascal เขาเมืองไทยมาก่อนที่ C จะเขา ก็เลยทำให้อาจารย์ที่ เรียนมาก่อนเราๆ ก็เลยเป็นกันแต่ Pascal อีกทั้ง Pascal เป็นภาษาโครงสร้างที่สมบูรณ์ (ไม่นับรวมOOP) ก็ เลยเป็นการดีที่จะให้ศึกษาการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง ซึ่งในขณะนั้นไม่มี OOP ให้ปวดหัว)

      ดู ที่เพื่อนฝูง ลองดูซิว่าเพื่อนฝูงของเรามีคนเป็นคอม เขียนโปรแกรมเป็นมั๊ย ถ้ามีเป็นอยู่หลายคน ก็ลองดูซิว่ามันเก่งภาษาไหนอยู่ ไม่แน่นะ ลองไปสนิทกับเพื่อนเอาไว้ จะได้แหล่งที่ปรึกษาชั้นดี (ที่ตบหัวได้) อยู่ข้างกาย เพราะถ้าเรามีอะไร จะได้ถามเพื่อนๆ ได้ครับ ถ้าไปเรียนอะไรที่ต่างจากคนอื่นเราก็จะหาที่ปรึกษาได้ยากขึ้น

      ดู ที่ร้านขายหนังสือ สำคัญเหมือนกันนะครับ ไปดูเลยความว่าคุณ สามารถหาหนังสือ ที่สอนภาษาเล่มไหนได้สะดวก อย่างสมัยก่อน (พ.ศ.40) ผมเจอมากับ C/C++ (สมัยนี้ก็เป็นอยู่) ตอนนั้นไปดูบนชั้นขายหนังสือ ที่ว่าถึง C/C++ นับเล่มได้เลยครับ ทั้งที่มีคุณภาพและขาดคุณภาพ มีไม่ถึง 10 ที่ว่าดีน่าอ่าน มีไม่เกิน 5 และที่ว่าดี ราคาไม่ต่ำกว่า 500 บาท และตอนนั้นผมเป็นนักเรียนยิ่งยากที่จะหาเงินมาซื้อ (พ่อแม่ไม่รวย)

      แต่ คุณรู้มั๊ย ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้หนังสือภาษา C/C++ ที่หน้าอ่านถึงวันนี้ก็ยังไม่เกิน 5 เล่น (เหมือนเดิม) ที่หน้าอ่านก็เล่มเดิมๆ ล่ะครับ มีเพิ่มก็ของ อ.กวาง แห่ง ThaiDEV.COM ที่เขียน คู่มือใช้งาน Visual C++ 6.0 ขึ้นมา (เล่มนี้ดีที่สุดบนแผงครับ และคิดว่าจะดีไปอีกนาน) ทีผมพูดมานี่คุณสามารถตีความได้ว่า C/C++ หาหนังสือดีๆอ่านได้ยาก จริงๆก็ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เพราะหนังสือดีๆ แค่เล่มเดียวก็สามารถทำให้คุณเก่งได้แล้วครับ ส่วนที่จะหาหลายเล่มก็เพื่อเสริมสร้างความรู้ให้สูงขึ้น สำหรับ C/C++ แล้ว ที่น่าอ่านก็คงเป็นหนังสือของ (ผู้เขียน) พ.อ.เจนวิทย์ เหลืองอร่าม กับของ อ.กวาง (แห่งThaiDEV) สองคนนี้ผมมั่นใจครับ มองหาหนังสือมาอ่าน ถ้าเป็นไปได้อย่าไปคอยถาม "คนโน้นคนนี้" ว่าเล่มไหนดี ลองหาด้วยตัวเองก่อน

"คนที่จะอ่านเป็นคุณนะครับไม่ใช่คนอื่น"

    และถ้าไม่มั่นใจจริงๆว่าหนังสือ เล่มไหนดี ก็ลองถามเพื่อนที่เรามั่นใจว่า(มัน)เก่งจริง หรือจะให้ดีลองใช้บริการหรือไปฝากถามตาม Webboard ของที่ต่างๆ เช่น Pantip, ThaiDEV, ThaiTOP, ARMAWEB.COM, SANOOK, เว็บกระกูล SIAM รับรองคุณจะได้ข้อมูลที่ หลากหลายจากหลายความคิด จากหลายคน (ทั้งมีประสบการณ์และไม่มีประสบการ.?) ไม่แน่คุณอาจได้คำแนะนำหนังสือ จากหลายคนจนเป็นแนวทางในการเลือกซื้อได้ อีกทั้งอาจได้เพื่อนคอยปรึกษาอีกต่างหาก แล้วผมขอแนะนำให้คุณทำใจ ถ้าคุณยังเห็นว่าหนังสือราคา 400-500 บาท มันแพง เพราะโดยมากก็ขายกันในราคาประมาณนี้ครับ หนังสือที่คุณซื้อเป็นคู่มือต้องอยู่กับคุณไปอีกนานนะครับ ไม่ว่าคุณจะเป็น เก่งหรือไม่เก่ง หนังสือที่ดีจะสามารถเป็นแหล่งหาข้อมูลแก้ปัญหาได้ครับ กัดฟันสักหน่อยน่าครับ 400-500 บาท ถ้าอับเงินจริงๆ ก็ห้องสมุดเลยครับผม

    อ้อ... และก็เผื่อใจไว้กับภาษาอังกฤษด้วย คือ จะบอกว่าในไทยเราก็แค่หาหนังสือ ดีๆได้ก็ว่ายากแล้ว ยิ่งจะหาหนังสือที่ขยายความรู้ออกไปอีกนี่แทบไม่มีเลย จะไปเรียนพิเศษในยุค IMF ก็ยังต้องคิด 2 จิต 2 ใจ ฉะนั้นหนังสือ หนังสือต่างประเทศ หรือที่เรียกจนติดปากเป็นศัพท์นักศึกษา คือ "TEXTBOOK" พวกนี้ล่ะครับ ดีที่สุดแพงจริง แต่เต็มที่ก็ไม่เกิน 3000 บาท (ยังถูกกว่าเรียน) ถ้าคิดว่าพออ่านมันได้ก็ดีครับ ผมเองก็ไม่เก่งภาษาอังกฤษอะไร แต่ด้วยแรงพยายามอันสูงสุด ก็ยังอุตสาห์ (หากรรม) มานั่งอ่านอยู่ได้ เปิดจน Dictionary พังไปเล่มหนึ่งแล้ว อ่านไปได้ครึ่งเล่มแล้วครับ หนังสือพวกนี้ยากแค่ความที่มันเป็นภาษาอังกฤษ ส่วนเนื้อความก็ไม่ได้ยากไปกว่าของไทยหรอครับ (แต่มันจะยาก อังกฤษ+เนื้อหา) แต่ถ้าทำได้คุณจะเป็นหนึ่งที่เก่งจนหาตัวจับยาก (และก็เก่งภาษาอังกฤษโดยบริยาย) ก็แนะนำว่า ศึกษาจากหนังสือภาษาไทยก่อน ถึงศึกษาไปแล้วเกิดล้มกลางคันก็ยังดี เพราะราคามันไม่แพง… จากนั้นพอเก่งแล้วก็ ไปหา Textbook ดีๆมาอ่านถ้าแพงมากไป ก็ไปหาตามห้องสมุด หรือ ถ่ายเอกสารเอาไปเลย (อย่างน้อยบ่างครั้งถูกกว่า) คุณจะได้เนื้อหาที่ละเอียดขึ้นจาก TextBook ครับ.

    ผมขออีกนิดนะครับ ใครที่สามารถหา TextBook อ่านได้ อ่านแล้วอย่าเก็บเอาไว้คนเดียว อยากให้คุณเขียนสรุปเนื้อหาที่คุณอ่านได้ เอาว่าเผยแผ่ให้คนอื่นๆ ที่มีโอกาสน้อยกว่าได้อ่าน หรือถ้าที่บ้านมี Scanner ก็สเกน แล้วแปลงเป็น เอกสาร Word แล้วเอาไปแจก… คนไทยให้ทั่วเว็บเลย ถ้าทำเองแล้วกลัวโดนจับเมล์มาบอกผม เดียวทำให้เอง… ศึกษาเองจะเก่งได้เหรอ… ครับได้ครับ… ขอเพียงคุณขยัน และมีเวลาให้กับมัน ประมาณสะวันล่ะ 1-2 ชั่วโมง การที่คุณจะเก่งสะภาษาหนึ่งก็ใช้เวลาประมาณ 6 เดือนได้ (ทำใจไว้เลย) ถ้าคุณเก่งสักภาษาหนึ่งแล้วภาษาต่อไป (ถ้าคุณอยากศึกษาเพิ่มอีกก็จะเร็วขึ้น) สละเวลาว่าง มานั่งอ่าน เมื่อคุณได้หนังสือที่คุณถูกใจก็ขอให้คุณอ่านมันไป ไม่ต้องไปรีบร้อนว่าจะอ่านมันให้จนใน 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน ให้คอย ๆ อ่านมันไป (แบบอ่านนิยาย) ขอให้อ่านแบบละเอียด จับใจความได้

    โดยมากหนังสือ พวกนี้ จะมีตัวอย่างให้เราทำตาม ก็นั้นล่ะครับ ถ้ามีคอมอยู่ที่บ้านด้วยก็ดี สบายเลย แต่ถ้าไม่มีคอม อยู่ที่บ้านก็ลำบากหน่อย ถ้ายังเป็นนักศึกษาก็ไป อาศัยคอม ในห้อง Lab ดู คนทำงานก็แอบใช้คอมที่ทำงานนั้นล่ะครับ กับผมเองแนะนำว่า ให้คุณอ่านให้จบบทหนึ่งไปก่อนเลย เวลามีการยกตัวอย่างให้คุณ ดู ก็ขอให้คุณศึกษาจากตัวอย่าง คิดตาม ใช้ความคิดศึกษา Code แต่ล่ะบันทัดว่ามันหมายถึงอะไร ให้ทำงานอย่างไร ถ้าคุณทำอย่างนี้แล้วมีคำถามเกิดตามมาเต็มเลย ก็หมายความว่าคุณได้อ่านถึงเนื้อหาแล้วครับ ลองทบทวนเนื้อหาที่ผ่านมาดู (เป็นการอ่านย้อยซ้ำ โดยบริยาย) ไม่ว่าจะเขาใจทุกบรรทัดหรือเปล่า เมือคุณทบทวนจนรู้สึกว่าน่าจะพอแล้ว ไม่เขาใจบ้างเล็กน้อยก็ช่างมันครับ ลองทำตามตัวอย่างกับคอมพิวเตอร์ของคุณเลยครับ หลายครั้งที่ปัญหานั้นต้องรอให้คุณ ฝึกทำไประยะหนึ่งแล้วคุณจะเขาใจ ยิ่งถ้าคุณ เขียนโปรแกรมเองบ่อยๆ ไม่ว่าจะเขียนเสร็จหรือเปล่า คุณจะได้ประสบการณ์และเทคนิค ที่คุณเองเขาใจ ขยันอ่านและขยันเขียนครับ

    จะให้ดีไม่เพียงแค่จากหนังสือที่ คุณอ่านอยากเดียวลองหาหนังสือเสริมอีก เช่น นิตยสารคอมพิวเตอร์ที่ขายกัน ตามแผง เช่น ไมโครคอมพิวเตอร์, หนังสือในเครือ AR อย่าง Windows Magazine , Internet Today เป็นต้น หนังสือพวกนี้จะมีคอลัม ที่พูดถึงการเขียนโปรแกรมอยู่เสมอครับ คุณก็สามารหาเทคนิคได้จากพวกนี้ครับ จงเป็นนักคิด รู้จักเขียนโปรแกรมบ่อยๆ พอคุณเริ่มเป็นบ่างแล้ว นึกอยากจะเขียนโปรแกรมอะไร ก็เขียนไปเลย จะเขียนได้ไม่ได้ก็ให้ทำไป เพราะคุณจะได้ฝึกทักษะไปในตัว ได้เจอปัญหา พยายามแก้ปัญหา มีปัญหาแล้วก็พยายามมาสอบถาม เพื่อหาความรู้เขาตัวเองครับ อีกสักนิด ไปต้องไปไหนไกลเลยครับ Web อย่าง Thaidev.COM (ของ อ.กวาง), PAIWEB (ของผมเอง) เว็บพวกนี้และที่อื่นๆ อีกมากสามารถเป็นแหล่งความรู้ให้คุณได้ พวกเว็บมาสเตอร์ และคนอื่นๆ ที่มีความรู้เขามาชมเว็บ ถ้าได้ปัญหาของคุณก็ยินดีตอบอยู่แล้วครับ เป็นโปรแกรมเมอร์แล้วสิ่งจะได้ กว่าคุณจะเก่งได้ ความรู้ที่คุณศึกษาไม่เพียงแค่ เขียนโปรแกรมเป็นเท่านั้นนะครับ คุณจะมีความรู้เกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ของคุณ เพิ่มขึ้นอีกมาก คุณจะรู้อะไร ที่ว่าด้วยคอมพิวเตอร์อีกมากมายครับ แล้วต่อไปคุณก็จะเขาใจว่าคอมพิวเตอร์ไม่ได้ยากอย่างที่คุณคิด คุณจะเป็นคนหนึ่งที่เก่งคอมพิวเตอร์ อีกทั้งเป็นการฝึกการวางแผน ฝึกเป็นนักคิดอย่างมีระบบ…

    ต้องเริ่มศึกษาจากพื้นฐาน ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ ก้าวหน้าไปมากครับ พัฒนาขึ้นทุกวัน ปีต่อปี พักหลังนี้ เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ เมื่อความก้าวหน้ามันเพิ่มขึ้นพื้นฐานมันก็ก้าวตามครับ เช่น สมัยก่อน OS พื้นฐานก็เป็น DOS เวลาที่จะพิมพ์เอกสาร ก็ต้อง CW แต่ในวันนี้ พื้นฐานก็ Windows 95 พิมพ์เอกสารก็ WinWord วันนี้คุณไม่จำเป็นต้องไปนั่ง (บ้า) ศึกษาย้อนหลังจากสมัย DOS แล้วครับ คุณก็มาศึกษา Windows ไปเลย ต่อให้คุณไม่รู้เลยกับ DOS ก็ไม่ได้ทำให้คุณไม่สามารถใช้ Windows ได้ เพียงแต่ถ้าคุณรู้พื้นฐาน Dos บ่างคุณจะใช่ Windows ได้ดีขึ้น แต่ผมให้คุณเริ่มศึกษาจากพื้นฐานตอนนี้ไปเลย แล้วคอยไปหาเศษหาเลยกันที่หลัง ไม่งัน อีก 10 ปี ไม่มานั่งเรียน DOS กันตายหรือครับ…

    การเขียนโปรแกรมก็เหมือนกัน ถ้าคุณจะเขียน โปรแกรมบน Windows คุณก็ศึกษา พวก Visual Basic, Visual C++, Delphi กันไปเลย ไม่ต้องมาให้ความสำคัญกับการเขียนโปรแกรมบน Dos ให้มากมาย มันก็ขึ้นกับการศึกษาของคุณด้วยครับ เช่น ถ้าคุณ ศึกษา Visual C++ ความรู้โดยบริยายก็จะทำให้คุณรู้เนื้อหาที่เกียวกับการเขียนโปรแกรมบน Dos บ่างเล็กน้อยที่จำเป็น แล้วเมือคุณศึกษาไป คุณก็จะได้เก็บเนื้อหาไปเองทีล่ะนิด แต่ถ้าคุณรู้พื้นฐานการเขียนโปรแกรมบน Dos มาก่อนมันก็เป็นพื้นฐานให้คุณได้ ถ้ามีเงินเหลือผม ก็จะแนะนำให้คุณ หาหนังสือ (หรือเข้าห้องสมุด) แล้วก็อ่านหนังสือที่สอนให้เขียนโปรแกรมบน Dos ตามภาษานั้นๆ อ่านให้พอรู้พอไม่ต้องไปเอาเป็นเอาตายอะไรกับมัน ถ้าต่อไปไม่รู้ก็คอยกลับไปอ่านใหม่ครับ… จำแนกภาษาไว้ให้เลือก เอาเพื่อความง่ายในการเลือกภาษาที่ถูกใจกับคุณ… ผมจะพูดถึงทุกๆ ภาษาที่คนไทยเรานิยมให้ฟัง พอเป็นแนวทาง ผมแบ่งหมวดพวกมันเป็นดังนี้ ครับ

   1. ภาษาที่ใช้พื้นฐาน Code จาก ภาษา Basic เช่น Turbo Basic, Visual Basic พวกนี้โดยมากะสินค้า (ผมใช้คำว่าสินค้า) ของ Microsoft ครับ
   2. ภาษาที่ใช้พื้นฐาน Code จาก ภาษา Pascal เช่น Turbo Pascal, Delphi พวกนี้โดยมากเป็นผลผลิต ของ Borland ครับ
   3. ภาษา ที่ใช้พื้นฐาน Code จาก ภาษา C และ C++ เช่น (หลายอันมาก) Turbo C++, Broland C++, MS Visual C++, Symantec Visual C++ เป็นที่นิยมกันอย่างแผ่หลายครับ ที่สำคัญได้แก่ Microsoft, Broland
   4. ภาษา ที่พัฒนามาเพื่องานฐานข้อมูล เช่น MS Visual FoxPro, Broland Visual Dbase เป็นต้น พวกนี้ตัวลักษณะ Code จะเป็นเอกลักษณ์ของตน แต่ก็มีความง่ายไม่แพ้กัน
   5. ภาษาที่พัฒนามาเพื่องานเครือข่าย เช่น Java, Perl เป็นต้น (รวมถึง กระกูล Script อย่าง JavaScript, VBScript,)

      ลอง สังเกตดูนะครับ เท่าที่เป็นทุกวันนี้มีคู่แข่งในวงการผลิตเครื่องมือเขียนโปรแกรม(ผมเรียก ง่ายๆ) ก็จะมีอยู่ 2 ขั้วด้วยกัน คือ (1.)Microsoft, (2) Borland โดยทั่งสองเจ้าจะมีเครื่องมือเป็นตัวชูโรงอยู่คนล่ะอัน Microsoft จะมี Visual Basic เป็นหัวหอกหลัก (ปัจจุบันถึงรุ่น 6.0) แค่ชื่อก็บอกแล้วครับว่ามีพื้นฐานมาจาก ภาษา Basic โดย Microsoft ได้แทรกคุณสมบัติอันน่าใช้ของ Visual Basic ลงในสินค้าของตนไม่ว่าจะเป็น ชุดโปรแกรม Office ซึ่งใช้การโปรแกรม Visual Basic ผนวกเขาไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ให้สูงขึ้น… อีกทั้ง การทำงานของ ASP ยังต้องพึ่งพา VB Script ซึ่งก็เป็นเชื้อสายของ Visual Basic จึงจะเห็นได้ง่า Visual Basic เป็นพระเอกตัวทำคะแนน ของ Microsoft ส่วนทาง Borland ก็จะมี Delphi เป็นขุนพลทัพหน้าสำหรับทำศึกแบบประชิดตัวกับ Visual Basic (โดยปัจจุบัน Delphi ถึงรุ่นที่ 4.0) โดยเจ้า Delphi นี้จะอาศัยพื้นฐาน Code จากภาษา Pascal (อาจจะเรียกว่า Pascal ภาค Windows ก็น่าจะได้) ทางด้านประสิทธิภาพและความง่าย ก็ไม่เป็นรอง Visual Basic จะฝัง Microsoft เลย…

      ทั้ง Visual Basic กับ Delphi เป็น 2 โปรแกรมพัฒนา ("โปรแกรม"ที่ใช้เขียน "โปรแกรม") ที่ได้รับความนิยมอย่าง (บ้าคลั่ง) สูงในไทย ก็นับว่าเป็น 2 ภาษาที่น่าศึกษา เพราะมีหนังสือดีๆ ให้เลือกตามแผงหนังสืออย่างมากมาย คุณสามารถเขียนโปรแกรมบน Windows โดยที่ไม่ต้องไปเรียนเขียนโปรแกรมบน DOS (ไม่ต้องย้อนไปเรียน Basic หรือ Pascal ก่อน) อีกทั้งความง่ายของ มันทำให้คุณสามารถสนุกกับการศึกษาด้วยตัวเองเป็นอย่างมาก สำหรับท่านที่ต้องการเป็น Programmer ได้ในระยะเวลาอันสั้น 2 ภาษานี้ไม่ควรมองข้ามครับ เพราะทรัพยากรการเรียนรู้ อำนวยอยู่มากมาย นั่นคือ หนังสือ กับ เพื่อนคนไทยที่ใช้

      เรา หันกลับมามองที่ภาษาที่ยิ่งใหญ่ ภาษา C/C++ หลายคนจะสับสนว่า เรียก C (อ่านว่า ซี) หรือ C++ (อ่านว่า ซี-พลัส-พลัส) กันแน่ อันที่จริง C และ C++ มันเป็นภาษาคนละระดับครับ พัฒนามาคนละสมัยกัน โดยที่ C++ ได้พัฒนาต่อจาก ภาษา C (หรือ C เป็นรากฐานของ C++) โดย C++ ได้เติมส่วนขยาย(คุณสมบัติอื่นๆ) ที่ C ไม่มีลงไป ที่เห็นเป็นหลัก เช่น การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ หรือ OOP (Object-Oriented Programming) เราเรียกได้เลยว่า C++ เป็นภาษาแรกที่บุกเบิก OOP ก็ว่าได้ และในอีกต่อมา OOP ก็เป็นมาตรฐานที่(แทบ)ทุกภาษามีกัน OOP เป็นการพัฒนาการเขียน(Code ของ)โปรแกรม ด้วยความสามารถอันนี้ สามารถลดความสับซ้อนในการเขียน Code ลงไปได้ (แต่อาจเพิ่มความสับสน กว่าจะเขาใจ OOP) OOP สามารถช่วยให้คุณจัดการกับ Code ที่มีความยาวมากๆ (หลายๆพัน บรรทัด ถึงหลักหมื่นบันทัด) ให้เป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โปรแกรมเมอร์จะมีขอจำกัดในการใช้ Code ลดลง เรียกได้เลยไม่ถูกบีบโดย Code อีกต่อไป (สำหรับคนที่เข้าใจ OOP แล้วนะครับ) อีกทั้งคุณจะหนี OOP ไม่ได้เลยกับการเขียนโปรแกรมบน Windows เพราะ OOP สามารถ Code ที่คุณจะเขียนจาก พันๆบันทัดให้เหลือ ไม่ถึง 10 บรรทัด

      OOP จะช่วยในการทำงานเป็นทีมการพัฒนาโปรแกรมในระยะยาว คุณสามารถปรับแต่ง ต่อเติม Code ได้อย่างเดียวกับการต่อของเล่น (ตัวต่อ Lego) แต่เมื่อมามองในเมืองไทย C/C++ (ขอเรียกสองอันนี้คู่กันไปนะครับ) C/C++ เพิ่งจะได้รับการเหลียวมองมาไม่นานนี้เอง ผมเป็นคนหนึ่งก็ว่าได้ที่เกิดทันยุกต์ที่คนไทย (ทั่วไป) ยังกลัว C/C++ หนังสือที่มีคุณภาพพอที่จะให้คุณศึกษา C/C++ ด้วยตัวเองบนท้องตลาด จนถึงวันนี้ ฉบับภาษาไทย มีไม่เกิน 10 เล่มครับ (จริงๆผมว่าไม่ถึง 5 ด้วย) และก็เป็นครั้งแรกในรอบ 2-3 ปีก็ว่าได้ที่มีหนังสือ สอนการใช้ Visual C++ ออกมาในท้องตลาด (คิดดู 2 ปีมาเลย เพิ่งมีคนทำ Visual C++ 6.0) มาให้อ่าน และ ณ.ที่นี้ก็ขอขอบคุณ อ.กวาง (อ.นิรุธ อำนวยศิลป์) ด้วยที่ให้โอกาสกับคนไทยได้รับรู้กับความก้าวหน้า ของ ภาษา C/C++ , C/C++ เป็นอีกหนึ่งภาษาที่ น่าสนใจไม่น้อย

      ใน ปัจจุบัน โปรแกรมเมอร์และนักพัฒนาจากทั่วโลก ยกให้ภาษา C/C++ เป็นภาษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และ C/C++ เองยังเป็นต้นแบบให้กับอีกหลายภาษาเช่น Java, Perl เป็นต้น C/C++ เป็นภาษาที่ได้รับมาตรฐานจากทั่วโลก และเรียกได้เลยว่า C++ เป็นภาษาในงานอุตสาหกรรม อีกทั้งถ้าคุณเคยศึกษากับ อุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ C/C++ จะมีส่วนในงานพวกนี้อย่างมากเลยครับ C/C++ ยังรองรับกับงานทาง วิศวกรรม งานคำนวณ และงานทั่วไป C/C++ ก็ยังเป็นต่อภาษาอื่นอยู่เล็กน้อยเสมอ แต่เนื่องด้วยตัว Code ของ C++ ที่ หลวม ไม่เคร่งคัด C/C++ จะให้อิสระการการเขียน Code อย่างมาก จึงทำให้ C/C++ เป็นภาษาที่คนเขียนต้องหารูปแบบการเขียนของตัวเองให้เจอ ก็เลยทำให้ คนที่จะศึกษา C/C++ ต้องใช้เวลามากกว่า คนอื่นเล็กน้อย แต่ถ้าศึกษาได้แล้ว คนที่เขาใจกับ C/C++ แล้วอาจจะไม่อยากมองภาษาอื่นเลยก็ได้ สำหรับคนไทย ผมจะไม่ขัดขวางเลยถ้าจะศึกษา C/C++ กันให้มากขึ้น ดี ครับ ถ้าในใจ ชอบ คำว่า "ซี" อยู่แล้ว เรียนเลยครับ คุณสามารถใช้ C/C++ ได้แทบทุกงาน ตั้งแต่ งานเล็กๆ งาน Network ถึงงานบน Super Computer…

      ส่วน ภาษาจำพวก งานฐานข้อมูล พวกนี้เหมาะสำหรับงานเฉพาะงานครับ เพราะคุณสามารถพัฒนาโปรแกรมเฉพาะกิจได้ในเวลาอันสั้น แต่ก็นั่นล่ะครับ ความสามารถของมันอยู่แค่เฉพาะงาน ทางเลือกที่ดีที่สุดคือใช้มันคู่กับภาษาอื่นที่เป็นหลัก เช่น ใช้ Visual FoxPro คู่กับ Visual Basic เป็นต้น ส่วนภาษา Script ก็จะอยู่เฉพาะงานอีกนั้นแหล่ะ แต่กระซิแบบดังๆ เลยนะครับ ภาษาพวกนี้ทั่ง Script (JavaScript, VBScript) เป็นภาษาที่มีความง่ายแบบสุด คุณสามารถใช่ภาษา Script เป็นในเวลาไม่นานนัก และสามารถเก็บไปเป็นพื้นฐานในการมอง การเขียนโปรแกรมได้เป็นอย่างดี สรุปกันหน่อย.

   1. หากคุณ ต้องทำงานในด้านสำนักงาน ต้องเจอ Office อยู่ทุกวัน ผมขอแนะนำให้คุณ ศึกษา Visual Basic ครับ ก็หาหนังสือ Visual Basic มาอ่านได้เลย ให้มองหาหนังสือที่พูดถึง Visual Basic 5.0 หรือ 6.0 นะครับ เมื่อคุณศึกษาจนรู้เรื่องแล้ว คุณจะสามารถนำมาพัฒนางานของคุณได้อย่างดี
   2. หาก คุณเป็น นักศึกษา (และเรียนถึง ท่านอาจารย์ ที่จะศึกษาการเขียนโปรแกรมด้วยครับ) ผมแนะนำให้เลือก Pascal, Delphi, C/C++, Visual C++ กันไปเลยครับ จริงๆ ผมอยากวาง C/C++ ไว้เป็นที่หนึ่งแต่ด้วยเมืองไทยยังหาหนังสืออ่านได้น้อยกว่า แต่ถ้าใครที่เป็นนักศึกษา (และท่านอาจารย์ที่จะหัดเขียนโปรแกรม) ถ้าเลือกภาษา C/C++ ผมสนับสนุนเต็มที่ครับ
   3. คุณ ต้องทำใจกับเวลา สัก 6 เดือนกว่าคุณจะเก่งนะครับ ไม่ว่าคุณจะ อ่านหนังสือเอง หรือไปอบรมก็ตาม เวลาประมาณ 6 เดือน นี่กับกำลังดีครับ หากคุณ หัดเขียนโปรแกรมอยู่สม่ำเสมอ และศึกษา ตลอด 6 เดือนล่ะก็ คุณสามารถเป็น โปรแกรมเมอร์ชันดีได้เลยที่เดียวครับ
   4. หาก มีปัญหาอะไร เช่น เลือกหนังสือไม่ถูก (ยอมสักหน่อยนะ) งงกับปัญหาเวลาหัดเขียนโปรแกรม ก็เมล์ หรือใช้บริการ Webboard มาปรึกษาได้เลย ทั้งที่ ThaiDEV.COM เอง, PAIWEB ของผม, และอีกหลายๆ แห่งที่พร้อมบริการด้านนี้ครับ สุดท้ายนี้ก็ขอให้ทุกท่านได้เป็น โปรแกรมเมอร์กันสมใจนะครับ

      ผม และโปรแกรมเมอร์อีกหลายๆท่านพร้อมเป็นกำลังใจอยู่เสมอครับ มีปัญหา ข้อสงสัยอะไรก็ติดต่อมาสอบถามกันได้ ครับ จะเมล์ หรือ Webboard ก็ได้ ขยันถามกันด้วยนะครับ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว บทความชิ้นนี้ยาวมาก เกือบ 10 หน้าเอกสาร หากท่านใดต้องการในรูปเอกสาร Word (Word97) ก็ไปหาโหลดกันได้ที่ PAIWEB นะครับ… ผมหวังว่าบทความฉบับนี้จะสามารถก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทุกๆ ท่านได้นะครับ…

"ขอ เพียงคุณตั้งใจ ไม่ทอดทิ้งความตั้งใจอันนั้น ไม่หวังว่าได้ได้รับคำสรรเสริญจากใคร เป็นตัวขอตัวเอง ปลายทางที่สดใสอยู่ไม่ไกลจากคุณครับ…"

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อมูลจาก

นายติน (นายไพบูลย์ ดอกไม้)

PAIWEB: Public Anchor Information

E-mail: paiboon@email.com

ICQ UIN: 30230036

www.tumcivil.com

โปรแกรมเมอร์มืออาชีพ เริ่มต้นที่ตรงนี้


ประเทศไทย กำลังก้าวเข้าสู่ยุค IT ยุคนี้ทุกคนจะต้องใช้อุปกรณ์ทาง IT ไม่ว่าจะเป็น PDA โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งนี้มันก็อยู่ที่ตัวคุณเองว่าจะเลือกทางใดให้ประเทศไทยก้าวผ่านยุคนี้ระหว่างเป็น ผู้ใช้ที่ดี หรือ ผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ ถ้าเลือกที่จะเป็นเพียงผู้ใช้ก็หมายความว่า ประเทศไทยอาจจะต้องเสียเงินจากการซื้อ Software ต่างประเทศอย่างมหาศาล แต่ถ้าเลือกที่จะเป็นผู้สร้าง คุณอาจจะเป็นอนาคตในการทำเงินเข้าประเทศ หรืออาจเป็นกำลังคนสำคัญคนหนึ่งในการผลักดันความเจริญให้กับประเทศไทยนี้ก็เป็นได้
เอาล่ะ ประเด็นที่เราจะพูดกันในวันนี้ก็คือ ถ้าคุณเลือกที่จะเป็น ผู้สร้าง คุณจะต้องเป็น  แน่นอน และการที่คุณจะไปสู่จุดหมายที่ดีนั้น คุณจะต้องเรียนรู้ถึงรู้วิธีการที่จะทำให้คุณเป็นโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ ซึ่งมีทั้งหมด 5 ข้อ ดังต่อไปนี้
1. สำรวจดูว่า ตัวเองมีคุณสมบัติเป็นโปรแกรมเมอร์หรือไม่
2. ฝึกเขียนโปรแกรม
3. ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม
4. เผยแพร่ผลงาน
5. กระทำตามข้อ 1 – 4 อย่างสม่ำเสมอ
นี่ คือ 5 ข้อหลักของโปรแกรมเมอร์ ถ้าหากคุณทำได้ทั้ง 5 ข้อนี้ คุณก็จะได้เป็น  มืออาชีพ เลยทีเดียว เรามาดูรายละเอียดของแต่ละข้อกันเลยดีกว่าครับ ว่ามีราบละเอียดอย่างไรบ้าง

1.สำรวจดูว่า ตัวเองมีคุณสมบัติเป็นโปรแกรมเมอร์หรือไม่

เรามาสำรวจดูตัวเราก่อนว่า เหมาะสมกับการเป็น โปรแกรมเมอร์ หรือไม่ ลองถามตัวเองดูสิว่า คุณต้องการเป้นโปรแกรมเมอร์ อย่างจริงจังหรือไม่ แล้วถ้าเราไม่ได้จบ คอมพิวเตอร์มาหล่ะ เราเป็นโปแกรมเมอร์ได้หรือไม่ ตรงนี้ ผมเองก็ขอตอบจากความรู้สึก สวนตัวเลยว่า ไม่จำเป็นครับ เราลองทบทวนและ มองโลกให้กว้างครับ ว่าโปรแกรมเมอร์ ที่เก่งๆ หลายคน ไม่ได้จบคอมพิวเตอร์มาโดยตรง และอีกหลายคนก็จบคอมพิวเตอร์มาโดยตรง แต่บางคนจบคอมพิวเตอร์มาโดยตรง ก็เขียนโปรแกรมไม่เป็น เป็นแค่ งูงูปลาปลา ก็ถมไป สาเหตุมาจากอะไรหรือครับ ใจเขาไม่รักกับการเป็น โปรแกรมเมอร์ไงครับ ดังนั้นวุติการศึกษาไม่ใช่อุปสรรค ในการเป็นโปรแกรมเมอร์ครับ
สาเหตุ ทีผมบอกว่า วุฒิการศึกษา ไม่ใช่อุปสรรคต่อการเป็นโปรแกรมเมอร์ ก็เนื่องจาก ตอนเรายังเด็ก เราไม่ได้เลือกเรียนสายการเรียน ที่เรารักครับ แต่เราเลือกเรียน ตามเพื่อนบ้าง ตามพ่อแม่ผู้ปกครองต้องการบ้าง เพราะในช่วงวัยนั้น เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ มักตามเพื่อน หรือบางคนเรียนเพื่อตามใจพ่อแม่ แต่พอมาถึงวัยหนึ่ง เราก็มารู้ตัวว่าเราไม่ได้ชอบมันเลย ก็ทำให้เราเสียเวลาไปมากแล้ว จะกลับไปเรียน หรือก็ เสียค่าใช้จ่ายมาก แล้วแต่เหตุผล ของแต่ละคนไป ดังนั้นผมจึงขอ แนะนำว่า จงอย่ายึดติดกับค่านิยมของ คำว่าวุติการศึกษา ปริญญา ต่างๆ ทั้งสิ้นหากเราอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ มันอยูที่เราต้องการจะเป็นโปรแกรมเมอร์หรือไม่ต่างหาก รักการเป็นโปรแกรมเมอร์ มากแค่ไหน ก็ทุ่มเทให้กับมันเต็มที่
คุณมรความเพรียรพยายามหรือไม่ เพราะการเป็นโปรแกรมเมอร์ จพต้องมีความเพรียร ไม่ยอมแพ้ต่อปัญหา ต่างๆ เมื่อเขียนโปรแกรมแล้วติดปัญหา หากคุณเขียนโปรแกรมแล้วติดปัญหา คุณต้องพยายามแก้ไขปัญหาให้ได้ อย่ายอมแพ้เป็นอันขาด หากคุณยอมแพ้ คุณก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ดังนั้น ความเพรียรพยายาม เป็นกติกาสำคัญข้อหนึ่งของโปรแกรมเมอร์เลยทีเดียว ต้องมีความคากเพียรไม่ย่อท้อต่อสิ่งได และจะยอมแพ้ก้ต่อเมื่อ หาหนทางจนสุดกู่แล้วก็ไม่พบ จึงจะยอมแพ้ แต่การยอมแพ้ ต้องยอมแพ้อย่าง โปรแกรมเมอร์ คือ ยอมแพ้ในเวลานั้น เท่านั้น แต่เก็บมันเอาไว้เป้นการบ้าน ค่อยคิดค่อยหาทางแก้ปัญหา มันอีกทีหลังไปเรื่อยๆ มันต้องทำได้สิ สักวันคุณก็จะแก้ปัญหาได้ หมายความว่า ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ ก็อย่าจมอยู่กับมัน แต่ พักมันเอาไว้ก่อนต่างหากหล่ะ สุดท้ายก็แปลว่า ไม่ยอมแพ้นั่นเอง
โปรแกรมเมอร์จะต้องคิด อย่างที่คนอื่นเขาไม่คิด ทำในสิ่งที่ตนอื่นเขาไม่ทำ หมายความว่า เราต้องคิด ในสิ่งที่คนอื่น คิดไม่ถึง ทำในสิ่งที่คนอื่นเขาทำไม่ได้ เพราะโปรแกรมเมอร์ จะต้องสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ออกมาเสมอ ดังนั้น หากเราคิดแต่จะทำตามคนอื่น ลอกเรียนแบบคนอื่นๆ อยู่ เราก็ไม่สามารถพัฒนาโปรแกรมของเราให้คนอื่น เขารู้สึก ประทับใจ และต้องการได้ เพราะอะไรก็ตามที่ง่ายๆ หลายคนก็มักจะทำกัน หาที่ไหนก็ได้ ราคาและคุณค่าเลยไม่มี แต่ถ้าอะไรที่ยากๆ หายาก ไมาค่อยมีคนทำ หรือไม่มีใตรทำเลย นั่นแหละครับ ของสิ่งนั้นมันจะมีค่า น่าจดจำและประทับใจ


2.ฝึกเขียนโปรแกรม

เมื่อคุณสำรวจตัวของคุณเองแล้วว่าคุณมีคุณสมบัติตามข้อ 1 คุณก็กระทำตามข้อ 2 ต่อไปนี้ แต่ถ้าคุณยังไม่มีคุณสมบัติตามข้อ 1 มีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ครับ ทางที่ 1 คุณก็ควรจะเลิกลมความตั้งใจที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ระดับมืออาชีพได้แล้วครับ เพราะคุณฝืนไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะสิ่งที่คุณจะเจอเมื่อเป็นโปแกรมเมอร์ นั้นมันช่างเต้มไปด้วยสิ่งตื่นเต้น และปัญหามากมายเสียเหลือเกิน ล้มคเลิกความคิดเสียเถิด อย่าเป็นมันเลย โปแกรมเมอร์นี่ แต่ถ้าคุณยังมีคว่มต้องการที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ อยู่หล่ะก็ ข้อที่ 2 ที่ปมจะแนะนำคือ กระทำตามข้อ 1 ให้สำเร็จครับ เมื่อคุณกระทำสำเร็จ ตุณก็มีคุณสมบัติ พร้อมที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ดังนั้นเมื่อคุณ พร้อมตามคุณสมบัติแล้ว คุณจะต้องกระทำ ข้อนี้ครับ
ฝึกฝนตัวเองให้เก่งกล้าสามารถ ครับ โดยการฝึกเขียนโปแกรม แล้วจะเขียนโปแกรมภาษาอะไรดี นี่ไง ที่โปรแกรมเมอร์ หลายคนต่อหลายคนเจอปัญหา แล้วไปไม่ถึงฝัน เพราะทุดคนคิดแต่เพียงว่า อะไรที่ง่ายๆ นี่หล่ะ ทำตรงนี้หละ ถ้าคิอย่างนี้เหมะสมกับอาชีพอื่นครับไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่จเป็น โปรแกรมเมอร์ เพราะจะใช้คำว่า เริ่มต้นจากสิ่งที่ง่ายไปหายาก นั้นผิดครับ สำหรับการเป็นโปแกรมเมอร์ เพราะมันจะทำให้เรายึดติดและท้อถอยง่ายๆ เมือเจอปัญหา ดังนั้นคุณควรเลือกเรียนภาษา ที่ยากๆ ไว้ก่อน เพราะว่าภาษาคอมพิวเตอร์ อะไรก็ตามที่ยากๆ เขียนยาก ย่อมเข้าไกล้ภาษาเครื่องมากที่สุด เพราะการเขียนโปรแกรมนั้น เป็นการเขียนโปรแกรมเพื่อบอกให้คอมพิวเตอร์ ทำงานตามเรา ดังนั้น การเข้าถึงและเข้าไกล้ภาษาเครื่องมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้คอมพิวเตอร์ เข้าใจมากเท่านั้น
แล้วจะใช้ภาษา อะไรดี ขอแนะนำดังนี้ครับ ภาษาที่ ทีเครื่องมือ แบบ Visual ช่วยเยอะแยะไปหมด ย่อมมีขีดจำกัดของมัน ภาษาที่มีเครื่องมือแบบ Visual น้อย ก็จะลดขีดจำกัดลงได้ครับ ดังนั้นขอแนะนำภาษา จากยากไปหาง่าย เพียงบางตัวดังนี้ครับ Assembly, C++, C++ Builder, C# Builder, Visual C++, Visual C#, Delphi7,Pascal, Delphi8 for .Net, Visual Basic.Net, Visual Basic เป็นต้น จะสังเกตุเห็นว่า Assembly เป็นภาษาที่เข้าไกล้ภาษาเครื่อง มากที่สุด เขียนยาก ไม่มี Tools ช่วย ต่อมา เป็น C++ เขียนง่ายขึ้นมาหน่อย แต่ไม่มี Tools ช่วย ต่อมา เป็น C++ Builder ก็เขียนว่าย ขึ้นมาอีกนิด มี Tools ช่วยพอประมาณ ต่อมาเป็น C# Builder ก็มี Tools ช่วยมากมาก เขียนง่ายเข้าไปอีกระดับ จนสุดท้าย Visual Basic โอ้พระเจ้า Tools เพียบ เขียนง่ายมากๆ แค่ เขี่ยๆ ก็เสร็จแล้วครับ งายจริงๆ ไม่ต้องใช้สมองในการคิดเลย ช่วยให้เราเบาสมองไปได้เยอะ และทำให้สมองเราไม่ได้ใช้งาน เป็นใงครับ เมือสมองไม่ได้ใช้งาน ก็สมองตื้อสิครับ
ทีนี้ ก็เป็นอันว่า เลือกเอาภาษาที่คุณชอบ แต่ อย่าทิ้งภาษาอื่นนะครับ เพราะภาษา ง่ายๆ นี้ก็ยังช่วยเราได้เยอะเช่น ความต้องการของโปรแกรมแบบ ง่ายๆ ก็ใฝช้ภาษาง่ายๆ เขียน ทุ่นเวลาดี ดังนั้น ขอแนะนำให้ฝึกทุกตัว แต่ ยึดภาษายากๆ เป็นหลักไว้ 1 ตัว เพื่อสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ คุณควรฝึกเขียนโปรแกรมอย่าง สม่ำเสมอ ครับ จะได้คล่อง และควรเริ่มฝึกจากถาษา ยากๆ เป็นอันดับแรก ฝึกฝนจนชำนาญ อย่าละทิ้งนะครับ

3.ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม

หลังจากที่คุณผ่าน ข้อ 1 และข้อ 2 มาแล้ว ข้อ 3 นี้เป็นข้อที่คุณขาดไม่ได้เลยทีเดียว เนื่องจากการที่จะเป็นโปรแกรมเมอร์ ระดับมืออาชีพนั้น ก็คือการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม อยู่เสมอ โปรแกรมเมอร์ จะต้องเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่ง จะต้องเพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากเราหยุดนิ่ง เราจะตามโลกไม่ทัน เพราะเทคโนโลยีทุกวันนี้ ก้าวไกลและรวดเร็ว เสียเหลือเกิน หากเราหยุดเดินเพียงก้าวเดียว เราอาจตามโลกไม่ทัน อีกหลายพันก้าว เลยทีเดียว ดังนั้นการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม จึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่ง เพราะในโลกนี้ ไม่มีใคร เก่งที่สุด และเก่งไปหมดทุกอย่าง ดังนั้น ความรู้ เปรียบดังอาวุธ เอาไว้ต่อสู้กับความไม่รู้ ข้อมูลคือมูลเหตุแห่งความรู้ เราจงค้นหาข้อมูล มาเพิ่มเติมความรู้ให้กับตัวเราเองเถิด
การที่เราค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่เสมอนั้น ไม่ใช่แค่เป็นการเพิ่มพูนความรุ้เท่านั้น แต่ยังช่วยแก้ไขปัญหา เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมของเราด้วย เนื่องจากการเขียนโปรแกรมทุกครั้ง เราขะต้องติดปัญหาเสมอ รับรองได้ ไม่มีโปรแกรมเมอร์คนใด ที่เขียนโปรแกรมโดยไม่มีติดปัญหาเลย จะต้องมี ดังนั้น เราจึงต้องค้นหาข้อมูลเข้ามาช่วยแก้ไข ดังที่ว่า ไม่มีใครเก่งไปทุกอย่าง เราเก่งจุดหนึ่ง อีกคนเก่งจุดหนึ่ง เมื่อนำมารวมกัน ก็จะขจัดความไม่เก่ง ของแต่ละคนได้ ก็จะขจัดปัญหาได้ โดยการแลกเปลี่ยน ความรู้ซึ่งกันและกัน ปัญหาต่างที่พบก็จะคลี่คลายลงได้ แต่ถ้ามัวแต่คิดอยู่คนเดียว หัวของคุณอาจระเบิดตูม ขึ้นมาก็ได้ จริงไหมครับ
นอกจากเป็นการช่วยแก้ปัญหาในการเขียนโปรแกรมแล้ว การคนหาข้อมูลเพิ่มเติมอยู่เสมอ ยังช่วยให้เรารุ้ความต้องการของโลกปัจจบัน ว่าต้องการอะไร ขาดอะไร เราสามารถนำความต้องการเหล่านั้น มาพัฒนาเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ด้วยฝีมือของเราเอง ออกสู่ท้องตลาดได้ หากเราผลิตผลงานที่ไม่ตรงกับความต้องการของมนุษย์ แน่นอน ผลงานนั้น ย่อมไม่มีค่า และไม่มีความหมายใดๆ เลย เพราะความรู้ จะนำเราไปสู่โลกแห่งความจริง และมองออกถึงโลกอนาคต เพราะคุณจะกลายเป้นคนที่รู้จักวิเคราะห์ หาเหตุ และ ผล แห่งความเป็นไป เราจึงรู้ได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น และ จะต้องทำอะไรต่อไป เมื่อเรารู้ เราก็ย่อมจะผลิต ผลงานการเขียนโปรแกรมที่มีคุณภาพ ออกสู่ท้องตลาด อย่างตรงจุดประสงค์ และกลุ่มเป้าหมายได้
แล้ว… แหล่งค้นคว้าข้อมูลหล่ะ อยู่ที่ไหน ตรงนี้ มีเต็มไปหมดเลยครับ อันได้แก่ หนังสือวารสาร ต่างๆ หนังสือวิชาเฉพาะด้าน มากมายเต็มไปหมดเลย ทางรายการตาม สถาณีวิทยุ โทรทัศน์ ก็มี สารคดีต่างๆ แม้กระทั่งสื่อ CD-ROM ต่างๆ และที่ค้นหาข้อมูล ได้อย่างมหาศาล ก็คือ Web site ใงครับ เป็นแหล่งค้นหาข้อมูลที่ยิ่งใหญ่ เหมือนกัน และโดยมากแล้ว จะเป็นข้อมูลที่มีการ Update บ่อย และเป้นข้อมูล Share จากประสบการณ์ ของกลุ่ม โปรแกรมเมอร์ ด้วยกัน ดังนั้นเราก็รู้แล้วว่า แหล่งจ้อมูลมีมากมาย สุดแล้วแต่ที่เราจะหาได้ ใครชอบแบบใหน ก็เอาอย่างนั้นครับ แต่ผมว่า ค้นหาข้อมูลทุกรูปแบบ ครับดีกว่าหาข้อมูลจากแหล่งเดียว จะได้นำข้อมูลมาเปรียบเทียบกัน วิธีการเลือกซื้อหนังสือ ก็เหมือนกัน พยายาม เลือกซื้หนังสือที่เหมาะสม และน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะ หนังสือแปล ที่แปลมาจากหนังสือภาษาต่างประเทศ ต้องดุให้แน่ใจว่า ผู้แปล หนังสือเล่มนั้น ต้องเป็น โปรแกรมเมอร์ ไม่ใช่นักแปลภาษาอังกฤษ เพราะ ศัพท์ บางคำ ที่เป็นภาษาของโปรแกรมเมอร์ ไม่ได้มีความหมาย ตรงกับความหมาย ของนักแปลภาษาทั่วไป ผมเห็นหลาย ต่อหลายเล่ม ที่แปลผิด น่าสงสาร แม้กระทั่ง ครูผู้สอนเองยังนำเอาสิ่งผิดๆ นั้นไปสอนนักเรียน ต่ออีก แล้วเมื่อไร เราจะได้โปรแกรมเมอร์ที่รุ้จริง อย่างที่ผมเห็นมา การแปล เรื่อง Object และ Class ดันไปแปลว่า Class คือพิมพ์เขียว พิมพ์เขียวอะไรกัน มั่วกันไปใหญ่ นักเรียน ตามมหาวิทยาลัย ก็นำเอาความรู้ที่ผิดๆ นัน มาใช้กัน จนชั่วลูกชั่วหลาน แล้วเมื่อไร คนไทยจะมีโปรแกรมเมอร์ระดับ มืออาชีพ เก่งๆ กับเขาสักที อย่างนี้แหละ ที่ผมจะบอกว่า อย่าเชื่อหนังสือมากนัก จงเชื่อโปรแกรมเมอร์ดีกว่า ครับ แล้วเราจะได้ไม่เสียดาย เงินที่ซื้อหนังสือ จะซื้อที ต้องได้หนังสือดีมีคุณค่า จริงใหมครับ


4.เผยแพร่ผลงาน

เมื่อเรามีผลงานของเราออกมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ เผยแพร่ผลงาน ออกสู่ สาธานณะชน เพื่อให้คนอื่นได้เห็น ได้สัมผัสกับผลงานของเรา หากเราไม่นำผลานของเราออกเผยแพร่สู่สายตา ของคนอื่น แล้วเขาจะรู้ไหมครับว่าเราเขียนโปรแกรมเป็น มีฝีมือขนาดไหน การเผยแพร่ผลงานนี่แหละ มีประโยชน์ที่สุด เพราะการที่เรามีผลงานเผยแพร่ออกไป ให้หลายคนเห็น หลายคนรู้ ต่อไปคุณก็จะมีชื่อเสียง มีหลายคนรู้จัก อีกไม่นาน งานและเงิน จะมาหาคุณเองโดยที่คุณแทบตั้งตัวไม่ติดเลยทีเดียว เพราะอะไรหรือครับ ก็เขาเชื่อมั่นในตัวคุณแล้วใงครับ จากผลงานที่คุณได้ เผยแพร่ออกไป อย่างโบราณเขาว่า สวรรค์มีตา ฟ้ามีใจ ใงครับ
แล้วเราจะเผยแพร่ผลงานอย่างไร ไม่ยากครับ วิธีแรก ง่ายที่สุดเลยครับ ส่งตัวอย่างโปรแกรมให้กลุ่มเป้าหมายไปทดลองใช้ วิธีนีได้ผลดีทีเดียวครับ สำหรับคนที่กว้างขวาง รุ้จักคนเยอะแยะไปหมด ก็ทำได้ง่าย แล้วคนที่ไม่ค่อยรู้จักใครหล่ะ ก็มีวิธีเช่นกันครับ ก็โดยการเผยแพร่ผลงานผ่าน Web site ใงครับ เช่นเข้าไปช่วยตอบกระทู้คำถาม ของกลุ่ม โปรแกรมเมอร์ต่างๆ ตาม Web board หรือ Forum Board ต่างๆ เมื่อเราเข้าไปช่วยตอบ ช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ นั่นแหละครับ หมายความว่าคุณได้สร้างผลวานออกไปแล้ว และถ้าหาก อยากเผยแพร่ผลงานอะไรออกไป แต่ไม่มีใครถามสักที ก็ตังคำถามเองเสียเลย และคอยดูว่าจะมีคนสนใจคำถามนั้นหรือไม่ พอมีคนตอบ มา เราก็ไปเสริมสักหน่อย หรืออีกอย่าง เราก็ตังกระทู้เป็น เนื้อหาไปเลยไม่ใช้คำถาม เป็นบทความบทความหนึ่งไปเลย นี่ก็นับเป็นการเผยแพร่ ผลงานอีกวิธีหนึ่ง และค่อนข้างได้ผลดีทีเดียว ส่วนอีกวิธี ก็คือ เผยแพร่ตัวอย่าง Source Code ไปเลยครับ วิธีนี้ได้ผลดีเยี่ยมเลยทีเดียวครับ เพราะเป็นทั้ง บทความ และมี Source Code ตัวอย่างให้ Download อีกต่างหาก วิธีนี้รับรองประทับใจหลายคนเลยทีเดียวครับ
หลายคนก็บอกว่า จะลงเนื้อหา บทความได้ที่ไหน เพราะ Web board หรือ Forum board หลายที่ จำกัดจำนวนตัวอักษรในการลง ทำให้ลงเนื้อหาได้ไม่หมด เอาหล่ะตรงนี้ ผมก็เห็นใจ ผมเลยตัดสินใจเด็ดขาด เพื่อเป็นสื่อกลางนั้น โดยการปรับปรุง Forum board ขึ้นหมาใหม่ ไม่จำกัดตัวอักษรใน และสามารแทรกรูปภาพในเนื้อหาได้ เป็นลักษณะ Visual HTML Editor เพื่อให้ทุกคนสามารถเผยแพรผลงานออกไป พร้อมทั้งไปนั้งหลังขดหลังงอ สร้าง Code Develop ขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนสามาถ ที่จะส่งบทความพร้อม Source Code เพื่อเผยแพร่เช่นกัน หน้าตาคล้ายกัน ที่นี่ จะให้ความสำคัญและ สนับสนุนทุกคนครับ

5.กระทำตามข้อ 1 – 4 อย่างสม่ำเสมอ

ทำไมเราต้องทำตามข้อ 1 – 4 อย่างสม่ำเสมอ ก็เพราะว่า เราจะได้ฝึกฝน อยุ่ตลอดเวลา เพราะการฝึก ทำให้เราแกร่ง และเราก็จะได้เป็นโปรแกรมเมอร์ ระดับมืออาชีพใงครับ ถ้าเราขาดการฝึกฝน เราก็จะอยู่กับที่ ก้าวไม่ทันโลก แล้วก็ไม่มีโอกาส ได้เป็นมืออาชีพดังใจหวังไว้ นะสิครับ
ป.ล.ผมยอมรับเลยว่าผมก้ไม่ใช่โปรแกรมเมอร์มืออาชีพหรอกนะ แต่เห็นว่ามีประโยชน์เลยนำมาแบ่งปันกัน