วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ได้ครับ ว่าแต่จะเอาไปใช้สมัครทำในตำแหน่งไหนครับ จะได้แนะนำถูก พูดคำว่างานคอมเนี่ยมันกว้างครับ ต้องระบุสายมาเลย เพราะสถาบันแต่ละด้านจะดังไม่เหมือนกัน และใบเซอร์(certificate) ก็บางด้านใช้ บางด้านไม่ใช้
คร่าวๆในตลาดแรงงาน มีที่พอนึกออกนะครับ
1. สายโปรแกรมเมอร์ ตลาดงานกว้างที่สุด แต่ก็มีความหลายหลายมากที่สุดเช่นกัน สายนี้ยังแบ่งออกมาเป็นโปรแกรมเมอร์เฉพาะทางอีกไม่น้อยกว่า 4 สาย(แบบหยาบที่สุด ถ้าแบ่งโดยใช้โมเดลอีกแบบจะมีมากเกิน 10 สาย) เช่น พัฒนาเว็บ(Web Application) พัฒนาโปรแกรมบนคอม (System Application หรือ Console Application) พัฒนามือถือ (Mobile Application) พัฒนาเครื่องมืออิเล็คทรอนิคส์ (Electronic device) ใบเซอร์ที่ใช้จะเน้นสอบตามภาษาโปรแกรมที่ใช้เป็นหลัก เช่น .Net Java เป็นต้น บ.ที่จะรับก็กว้างมาก มีตั้งแต่บ.ที่ผลิดซอฟแวร์ขาย(software house) ยัน ผลิตไม้จิ้มฟัน ซึ่งต้องการมีระบบไอทีเป็นของตัวเอง(in-house software) งานน่าปวดหัวมากที่สุด เป็นสายที่ learning curve สูงที่สุดในงานไอทีทุกสาย ต้องเรียนรู้ทั้งภาษาโปรแกรม การออกแบบโปรแกรมและระบบที่จะใช้โปรแกรมนั้น(Domain knowledge) เช่น อาจต้องไปรู้บัญชี การเงิน การธนาคาร เกมส์ trading คณิตศาสตร์ ธุรกิจ อิเล็คทรอนิกส์ การจัดการ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ศิลปะ การบิน มัลติมีเดีย การแพทย์ ยันอวกาศเลย ขึ้นกับว่าเขียนให้ใคร แต่สามารถไปรับงานนอกได้ ทำกิจการของตัวเองได้ โอกาสเติบโตสูง เงินเดือนพอสมควร ตกงานยาก(เพราะทุกด้านต้องการระบไอที)
2. สาย IT Support หรือ System Engineer ทำงานเกี่ยวกับดูแลและออกแบบระบบงานไอทีให้องค์กร แต่หลักๆ คือ บำรุงรักษา (maintenance) เนื่องจากการวางรากก็มักจะใช้ out source มาวางให้แต่แรก งานที่เหลือจึงมีเพียงดูแล บำรุงระบบเฉยๆ งานสบายกว่าแบบแรก แต่โอกาสเติบโต เงินเดือนย่อมน้อยกว่าแบบแรก ใบเซอร์ที่สำคัญๆ ก็ Microsoft, Linux , CCNA (ระดับสูงกว่าหน่อย)
3. ด้านผู้ให้คำปรึกษา บางทีเรียกสาย ERP consult เป็นสายเกิดใหม่ เป็นการรวมกันทางด้าน เทคนิเชี่ยนและบริหาร (Technical knowledge + Management) คือ ใช้ซอฟแวร์เฉพาะด้านรวมไปถึง Customize มัน เพื่อให้เหมาะกับงานบริหารองค์กรนั้นๆ จัดเป็นสายงานที่เงินเดือนดีสูงอันดับต้นๆในจำนวนงานไอทีทั้งหมด เพราะมันมีด้านบริหารมาเกี่ยวข้องแต่เหนือกว่าที่เป็นบริหารที่พึ่งความสามารถทางเทคนิค่อลด้วย ข้อเสีย คือ ค่าอบรมและสอบใบเซอร์ แพง!! เป็นแสนๆได้ เช่น SAP เป็นต้น และเพราะความที่ยึดติดกับผลิตภัณฑ์ซอฟแวร์มากเกินไป ทำให้จะมีความรู้เฉพาะทางและข้ามไปทำสายอื่นยาก ขณะที่สายอื่นวิ่งมาเรียนสายนี้ได้ และถ้าวันใด SAP ล้มก็จบเห่
4. สาย Pure networking สายนี้ต่างกับสาย System Engineer ที่เน้นด้านการสื่อสารข้อมูลทางไกล และเน็ทเวิร์คกิ้งโดยเฉพาะ (ขณะที่สาย System จะดูในส่วนของระบบคอมในองค์กรนั้นๆเป็นส่วนใหญ่) จะเล่นกับอุปกรณ์ทางเน็ทเวิร์คโดยตรง เช่นเร้าท์เต้อ บริดจ์ สวิทซ์ ต้องมีความรู้เกี่ยวกับระบบโมเดล OSI ระบบเลเยอร์ชั้นสื่อสาร(แต่จะไปเกี่ยวจริงๆแค่ชั้น Network ถึง Application layer มากกว่า) TCP/IP Routing Protocol อะไรเทือกนี้ ใบเซอร์ที่เกี่ยวข้องกับสายนี้จึงเกี่ยวพันกับอุปกรณ์ด้านเน็ทเวิร์คและบริษัทที่ผลิตอุปกรณ์เน็ทเวิร์คอย่างช่วยไม่ได้ เช่น CCNA(ของ Cisco) สายนี้หางานยากที่สุด(ในไทย) เพราะหาเรียนยาก ศึกษาเองยาก เนื่องจากต้องพึ่งพาอุปกรณ์เน็ทเวิร์ค แต่ก็คุ้มค่าและน่าสนใจ มีโอกาสเติบโตสูง ศึกษาหนักจริงๆช่วงแรก แต่เมื่อความรู้นิ่งและระบบนิ่งแล้วจะสบายขณะที่เงินเดือนก็ไม่ขี้เหร่ และอนาคตมีความต้องการมาก เพราะโลกกำลังก้าวเข้าสู้ยุคของ Cloud computing ที่มีความต้องการระบบเน็ทเวิร์คที่เสถียรและเชื่อถือได้สูง
5. สาย Data Analysis จะเป็นสายที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูลเยอะ มีความเกี่ยวข้องกับสายโปรแกรมเมอร์เล็กน้อยเพราะจะมีการ query ข้อมูลและเก็บข้อมูลลง record ต่างๆ รวมไปถึงการทำ report ใช้ Dash board ซึ่งบางทีก็มีเรื่องเว็บโปรแกรมมิ่งมาผสมด้วย ใช้ซอฟแวร์ฐานข้อมูลต่างๆด้วย เช่น MS Access, SQL(อ่านว่า ซีควอล), Oracle รวมไปถึงต้องมีความรู้เกี่ยวกับการออกแบบฐานข้อมูล ฟอร์แมทที่ใช้เก็บ เช่น XML ฉะนั้นประกาศนียบัตรก็จะมีของ Oracle SQL เทือกนี้ และบางทีก็มีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงสถิติ อาจจะต้องใช้ซอฟแวร์สถิติขั้นสูงอย่าง SPSS ได้ด้วย ซึ่งหากทำได้ เงินเดือนก็มักจะสูงตาม แต่ก็มักไม่ค่อยต้องการระดับนั้น
6. สาย วิชาการหรือ Researcher พูดง่ายๆ คือ สายอาจารย์และนักวิจัย อิอิ จะรวมทุกสายทั้ง 5 ข้างต้น + ไม่สามารถระบุประเภทได้อีกเป็น 10 ไม่ต้องการใบเซอร์เท่าไหร่ ต้องการแต่ใบปริญญา
ที่พูดมาข้างต้นคือที่พอนึกออกนะครับ ที่จริงหลังๆจะมีสายที่ประหลาด พิลึก พิศดารกว่านี้อีก แต่ขอจับรวมไปที่ประเภทที่ 6 หมด เพราะในไทยยังไม่รู้จักมากนัก

ใน คห.ผม ลองศึกษาเกี่ยวกับสายงาน IT โดยรวมแล้วมุ่งไปทางเดียวให้เก่งเลยจะดีที่สุด ไม่ยังงั้นจะมีสภาพไม่ต่างอะไรกับแรงงาน IT ในบ้านเราส่วนใหญ่ คือ เป็นเป็ด ทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่ลึก ผลที่ออกมา คือ ค่าแรงถูก แต่ทำงานหนัก
ว่าแต่ทำไมอยากมาทำงานสายไอทีอ่ะครับ มีแต่คนไอทีจะหนีไปทำสายอื่นกันแล้วนะ เพราะค่าแรงใช่จะดีอะไรมากมาย - -"

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


ความจริงวันนี้ จบปริญญาตรี แต่...แล้วจะจ้าง 15,000 บาท ได้หรือ


ความจริงวันนี้ จบปริญญาตรี แต่...แล้วจะจ้าง 15,000 บาท ได้หรือ
         ว่าที่รัฐบาลใหม่ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กำลังสาระวนกับการตระเตรียมผลักดันการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ300บาท และผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีเงินเดือนจะต้องได้15,000บาท ขึ้นไป ตามที่ได้ให้สัญญาไว้นั้น เจ้าของกิจการและตัวแทนจากสภาต่างๆ ออกมาคัดค้านกันเป็นแถว
        วันก่อน นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช มือเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย สมัยเป็นอาจารย์ก็น่าเชื่อถือดี แต่มาออกทีวีเถียงข้างๆ คูๆ กับ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ว่าทั่วไปเขาจ้างกันวันละ 300 – 400 บาท อยู่แล้วไม่มีปัญหา ดร.ธนวรรธน์ จะยกตัวอย่างเท่าไรก็ไม่ฟัง ผมอยากให้นักข่าวไปทำข่าวบ้านนักการเมืองหน่อยก็ดีนะ จะได้รู้ว่านักการเมืองเขาจ้างคนรับใช้ในอัตราที่สูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำกันหรือไม่ หรืออาจจะมีจ้างต่ำกว่าก็ได้นะ
        วันนี้ผมเอาความจริงมาเล่าว่า ทุกวันนี้คนที่จบปริญญาตรีโดยเฉพาะที่มาจากต่างจังหวัด เมื่อเขามาหางานทำกันเขาไม่กล้าแสดงวุฒิการศึกษาปริญญาตรีกันหรอก เพราะอะไรหรือครับ...
        คนที่จบปริญญาตรี เมื่อก่อนพ่อแม่ให้เรียนสูงๆ หวังว่าจะได้เป็นเจ้าคนนายคน พอจบมาแล้วก็หวังสอบเข้ารับราชการ ซึ่งเปิดรับจำนวนไม่มากนัก ถ้าไม่มีเส้น ถ้าสอบไม่ได้ ก็ต้องแห่มาทำงานภาคเอกชน
         บริษัท เอกชน ก็จะมีมาตรฐานมีการทดสอบและคนที่จบปริญญาตรีโดยเฉพาะที่มาจากต่างจังหวัด มักไม่ผ่านเกณฑ์การทดสอบ สมัครงานหลายบริษัทก็ไม่มีใครรับซักที เริ่มไม่มั่นใจแล้วครับ...บางคนต้องเก็บใบปริญญาลงลัง ใช้วุฒิ ม.ในการสมัครพนักงานทั่วไป   ที่มักเรียกว่า โอเปอร์เตอร์ (Operator) หรือ ผู้ใช้แรงงานนั่นแหล่ะครับ
         บางคนได้รับคัดเลือกให้ทำงานในสำนักงาน โดยทำหน้าที่คีย์ข้อมูลคอมพิวเตอร์บ้าง คำนวณตัวเลขบัญชีบ้าง พิมพ์งานจัดเอกสารบ้าง หลายคนไม่ชอบทำไม่ได้ ทำงานแค่ 2 – 3 วันก็หนีหายไป ไปสมัครงานใหม่หางานตำแหน่งโอเปอร์เตอร์ดีกว่า ไม่ต้องปวดหัวกับตัวเลข ใช้แรงงานจบเป็นวันๆ ดีกว่า เพราะอะไรหรือ...   เพราะระบบการศึกษาที่สอนให้จบปริญญาโดยการอ่านท่องหนังสือ ไม่ได้ฝึกการคิดและการปฏิบัติ จึงได้กระดาษมาแผ่นเดียวครับ
         แล้วอย่างนี้ นายจ้างจะจ่ายเงินเดือนให้ 15,000 บาท หรือครับ  หากรัฐบาลใหม่จะบังคับว่า ปริญญาตรีต้องได้เงินเดือน 15,000 บาทนายจ้างก็จะกำหนดคุณสมบัติแต่ละตำแหน่งว่า ม.ปวช. ปวส. ได้เงินเดือน 90,000 บาท (วันละ 300บาท X 30 วัน) ต้องปฏิบัติงานได้อย่างไรบ้าง
          ส่วนตำแหน่ง ปริญญาตรี ต้องสอบวัดผลภาษาอังกฤษ TOEIC 600 คะแนน ขึ้นไป มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ข้อมูล สามารถนำเสนอข้อมูลได้เป็นอย่างดี (Presentation) อย่างนี้ คนกลุ่มที่พูดถึง รอไปเถอะครับ อีกนานแสนนาน ถึงจะได้เงินเดือน 15,000 บาท ส่วนคนที่มีความสามารถ นายจ้างเขาพร้อมจ่ายอยู่แล้วครับ
         เมื่อพนักงานโอเปอร์เรเตอร์ ได้ค่าจ้างวันละ 300 บาท เพิ่มต้นทุนให้นายจ้าง นายจ้างก็ต้องควบคุมคนที่ได้เงินสูงกว่า เดือนละ 9,000 บาท ให้มารับเงินในอัตราที่ต่ำลง โครงสร้างเงินเดือนก็จะไม่เติบโตแบบขั้นบันไดตามวุฒิการศึกษาที่สูงขึ้น หรือตามความสามารถที่สูงขึ้น หรือจะเรียกว่าอั้นเงินเดือนไว้ก็ได้
        คิดให้รอบคอบเถอะครับ อย่าอ้างเสียงประชาชนที่เลือกท่านมาเลย คนที่จะเดือดร้อนก็คือประชาชน มีใครที่ไหนจะยอมให้คนที่จบปริญญามาใหม่ๆ ได้เงินเดือนเท่ากับคนทำงานมา 10 ปีแล้ว เงินเดือนยังไม่ถึง 15,000 บาท เลยครับ ไม่เรียกว่า สร้างความแตกแยก แล้วจะเรียกว่าอะไร
ชำแหละนโยบายการจ้างงาน แล้วไปหย่อนบัตรเลือกตั้ง...อย่างมีสติกันเถอะครับ
วิศวคอมพิวเตอร์แฉ ข้อเท็จจริงที่ควรรู้เกี่ยวกับวิศวคอมพิวเตอร์

1.วิศวะคอม ไม่มี ?ใบประกอบวิชาชีพ?

หลายคนคงเคยได้ยินมาว่า จบวิศวะแล้วจะได้ใบประกอบวิชาชีพ แต่ สำหรับ วิศคอมพิวเตอร์ และสาขาทางไอทีทุกสาขาไม่มี ใบประกอบวิชาชีพ ครับ คือ มันไม่ได้เป็นวิชาชีพ แต่มันคือความรู้ที่เราเรียนมาเพื่อนำไปประกอบอาชีพเท่านั้น เนื่องจากมันไม่ได้จบไปแล้วทำงานตายตัวเหมือนคณะ สาขาอื่น

แต่ จริงๆแล้ว ทางสายไอที จะมีกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า ใบCert หรือ ถ้าเรียกแบบไทยๆ ก็ ใบ เซ่อ(ไม่ได้มาจากคำว่า เซ่อร์ซ่า นะ ) หรือ ถ้าภาษาอังกฤษ เขาใช้คำว่าCertification คล้ายๆใบประกอบวิชาชีพนั่นแหล่ะ  โดย เจ้าใบ Cert  นี้ เราจะต้องสอบเพื่อเป็นการการันตีว่า เรารู้ในเรื่องนั้นๆอย่างลึกซึ้ง เช่น ใบ Cert ของ JAVA
เพื่อการันตีว่า เรามีความรู้ในเรื่องของ Java Programing จริง

คงจะมีคนอดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วใบ Cert สำคัญมากหรอ ในการทำงาน ขอบอกเลยว่า สำคัญครับ เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วว่ามันเหมือนเครื่องการันตีความรู้ของเราเลย และที่สำคัญ บางบริษัท จะเพิ่มเงินเดือนเป็นพิเศษ ตามใบ Cert ของเรา

2.วิศวะคอมพิวเตอร์ สาขาที่คะแนนสอบสูงสุด ใน กลุ่มสาขาวิศวกรรม เป็นที่รู้กันดีว่า การสอบเข้า ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ นั้น ยากและหินแค่ไหน  แต่ สาขาวิศวคอมพิวเตอร์นั้นได้ชื่อว่า ยากที่สุดแล้ว ในสายวิศวะ  เห็นได้จากคะแนนสอบเข้าที่ออกมาในแต่ละปี โดยเฉพาะคะแนนของวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ที่คะแนนพอๆกับสายแพทย์เลย

3.สังคมไทย ยกย่องว่า ถ้าจะทำงานได้เงินเดือนสูงๆในสายไอที ต้องจบ วิศวะคอม เท่านั้น!!!
อย่างที่กล่าวไปหลายรอบแล้วว่า สังคมไทย ยกย่อง สายวิศวะเป็นอย่างมาก แต่ความเป็นจริงที่ พวกเราควรรู้อีกข้อก็คือในไทยเรา ไม่ว่าจะจบ วิศวะ วิทยา หรือสายอื่นใด ในสายไอที  การทำงาน มักเกี่ยวเนื่องหรือซ้อนทับกัน เนื่องจาก
อุตสาหกรรมในสายไอทีบ้านเรา เน้นไปทางด้านซอฟท์แวร์ หรือ การเขียนโปรแกรม ที่เป็นสายทางทั่วๆไป ของไอที ไม่เน้นเฉพาะ วิศวะคอม วิทยาคอม เท่านั้น

ดังนั้น เป็นความจริงที่ควรรู้ไว้ว่า  จบวิศวะคอม ก็ใช่ว่าจะได้งานทำที่ดี กว่าสาขาอื่น ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับความสามารถและความรู้ที่มี เท่านั้น!!!

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555


* ความเข้าใจผิดตลอดกาลของ คนเรียน"คอมพิวเตอร์ "
อาชีพนี้ในปัจจุบันก็คงจัดเป็นอาชีพที่อยู่ในโทนอาชีพยอดฮิตสำหรับเด็กน้อยรุ่นใหม่วัยกระเตาะที่ยังไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เหมือนที่เด็กเล็กในช่วงยี่สิบกว่าปีก่อนนั้น ตอบคำถาม"โตขึ้นอยากเป็นอะไร ? " โดยการ default route ว่า "หมอ" "พยาบาล" หรือ "ทหาร"  
โลกเทคโนโลยี มันก็คงดูโก้เก๋ในสายตาเด็กน้อย ส่วนหนึ่งเข้าใจว่าเพราะมันมีความหมายโดยนัยถึงคนสร้างปังย่าหรือดอทเอ และมันจะเจ๋งแค่ไหนถ้าเราได้เป็นพระเจ้าที่กำหนดเกมได้ทั้งหมด โอ้..พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก
อย่างไรก็ตามเพื่อช่วยให้น้องๆหนูๆเข้าใจอาชีพนี้ดีขึ้น ก็ขอชี้แจงความเข้าใจผิดต่ออาชีพนี้ที่มักเกิดขึ้นบ่อยๆ
1.เมื่อเรียนจบสายคอมแล้วคุณจะเขียนเกมได้- เรื่องนี้ไม่ได้ระบุไว้ในเงื่อนไขการศึกษาแต่อย่างใด และจุดประสงค์ของการศึกษานั้นก็ไม่ได้มุ่งสู่การเขียนเกม ดังนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คนกว่า 80% ที่จบสายคอม ไม่ได้ทำงานเกี่ยวข้องกับเกมแม้แต่น้อย ยกเว้นแอบเล่นเกมในเวลางาน
2.เกมเจ๋งๆเขียนโดยเทพเจ้าโปรแกรมเมอร์ไม่กี่คน- เกมบางเกมอาจใช่ แต่เกมใหญ่ๆมักมีทีมงานมากกว่าที่คิด ตั้งแต่คนศึกษาตลาด สร้างตัวละคร ออกแบบโปรแกรม โปรแกรมเมอร์อย่างเดียวอาจจะเป็นร้อยก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าอยากทำเกมเรียนอย่างอื่นก็มีโอกาสได้ทำเหมือนกัน
3.อยากเรียนวิศวฯคอม เพราะอยากเรียนคอมพิวเตอร์กราฟฟิค- แม้ว่าใน curriculum ของคณะนี้ จะมีวิชาคอมพิวเตอร์กราฟฟิคให้เลือก แต่เนื้อหานั้นไม่ใช่การสร้างรูปให้มันสวยงาม แต่เป็นการคำนวณด้วยระบบ matrix ล้วนๆ เพื่อให้ศิลปินที่ทำงานกราฟฟิค(แน่นอนว่าไม่ใช่วิศวกร)ได้สรรค์สร้างความงามผ่านไอ้ matrix นั้น ส่วนฝั่งเทคนิคนั้นมีหน้าที่ทำยังไงก็ได้ให้คำนวณไอ้ matrix นี้ให้เร็วแล้วสามารถตอบสนองได้เร็วพอที่ความคิดสร้างสรรค์ของศิลปินมันจะไม่หายไปซะก่อน
4.งานไอทีเป็นงานที่ใช้สมองและโฮโซ- บางครั้งงานไอทีบางอย่างก็ไม่ได้ใช้สมองอย่างที่คิด เราไม่ได้นั่งคำนวณ ใช้ตรรกะ หรือ นั่งคิด algorithm เจ๋งๆทั้งวัน บางคนอาจจะได้ทำงานประจำเดิมๆซ้ำๆกันทุกวัน และบางครั้งเราก็อยู่ในระดับต่ำสุดใน business unit เป็นลูกกะจ๊อกจ๋องๆในบริษัท แต่ก็แน่นอนว่ามีบางคนที่ได้ดิบได้ดี ก็เหมือนกับอาชีพอื่นๆนั่นแหละมันไม่แน่เสมอไป
5.อาชีพของคนจบคอม คือ ซ่อม PC กับ โปรแกรมเมอร์- อันนี้จริงเรามีงานหลากหลายและแตกย่อยลงมากมาย แต่ไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายแก่คนโดยทั่วไป เพราะมันไม่ได้อยู่ในหนัง (อาชีพไอทีที่ปรากฎในสื่อร้อยละ 99 ประกอบอาชีพโปรแกรมเมอร์ อันนี้เป็นที่น้อยใจของคนฝั่ง infra ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน มันจะเป็นวิศวกรเครือข่ายมั่งไม่ได้หรืออย่างไร)
6.คนจบคอมสามารถซ่อมคอมได้ทุกชนิดทุกแบบ แม้ว่าจะเห็นเครื่องนั้นเป็นครั้งแรก- อันนี้ก็เข้าใจว่าเป็นความคลาดเคลื่อนจากการเสพสื่อมากเกินไป ที่มักแสดงออกว่าพวกนี้สามารถจัดการคอมได้ทุกรูปแบบโดยไม่ต้องอาศัยเวลาเรียนรู้ สามารถ hack เข้าไปในระบบเจ๋งๆได้ทุกระบบ แต่ความจริงแล้วถ้าไม่ใช่เทพเจ้าจริงๆคงทำแบบนั้นไม่ได้ง่ายๆ และแม้ว่าจะเป็น PC ธรรมดาคนคอมบางคนนั้นก็ไม่สามารถซ่อมได้เพราะเรามีความเชี่ยวชาญที่ต่างกัน หากน้องๆมีความเข้าใจแบบในข้อนี้อยู่ขอให้เลิกดูหนังซักระยะเพราะกำลังได้รับสื่อมากเกินไป



อ้างอิงจากhttp://jred.exteen.com/
ผู้แต่ง : maew


อ่านต่อ :http://writer.dek-d.com/Writer/story/view.php?id=401475#ixzz1wJve0s71